หน้าเว็บ

15 ก.ย. 2554

หลักการออกแบบทางหนีไฟ

การกำหนดหลักการออกแบบที่เรียกว่า Design Concept ควรจะกำหนดหัวข้อการป้องกันอัคคีภัยไว้ด้วย สถาปนิกสามารถกำหนด Design Concept ที่เอื้ออำนวยต่อการป้องกันอัคคีภัย ได้ดังนี้

1. การแบ่งพื้นที่ป้องกันไฟและควันไฟการแบ่งพื้นที่ป้องกันไฟและควันไฟ

ตัวอย่าง การออกแบบอาคารสำนักงานที่ส่วนล่าง 5 ชั้นเป็นธนาคาร และส่วนบน 25 ชั้นเป็นสำนักงานให้เช่าขนาดเล็กหน่วยละ5 ชั้นเป็นธนาคาร และส่วนบน 25 ชั้นเป็นสำนักงานให้เช่าขนาดเล็กหน่วยละ50 ตร.ม. การแบ่งพื้นที่ป้องกันไฟส่วนล่าง และส่วนบนออกจากกันด้วยพื้นที่ทานอาหาร สวน และสันฑนาการที่ใช้การระบายอากาศตามธรรมชาติ บริเวณโถงทางเดินในส่วนบนของอาคารเปิดเป็น Atrium แต่มีการเจาะใช้เป็นร่องข้างอาคารตลอดความสูง และเปิดช่องระบายอากาศที่ยอดอาคาร ผนังกั้นระหว่างหน่วยใช้ผนังยิปซั่ม ซึ่งกันไฟได้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง ทางเดินสู่ทาง
หนีไฟมีลักษณะเป็นระเบียงภายนอกและนำสู่ทางหนีไฟ 2 ทาง 

2. การหนีไฟ

ตัวอย่าง อาคารที่มี Atrium ที่มีหลังคาปิด โดยหลังคาออกแบบให้เป็นโดมที่เป็นปริมาตรรับควัน (Smoke Reservoir) เพื่อชลอการกระจายควันไฟเข้าสู่ชั้นบนของอาคาร และจัดให้มีระบบระบายควันออกจากโดมนี้ ในกรณีที่มี Auditorium อยู่ในชั้นบน บันไดหนีไฟจะต้องมีขนาดใหญ่เพียงพอในการหนีไฟสำหรับคนจำนวนมาก ทางหนีไฟมีอย่างน้อย 2 ทาง และมีประตูห้องที่มีคนเกิน 50 คน จะเปิดออกสู่ทางหนีไฟ

3. การระบายควันไฟการระบายควันไฟ

ตัวอย่าง การออกแบบระบบการระบายอากาศตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยในการระบายควันไฟเมื่อเกิดอัคคีภัย

13 ก.ย. 2554

มาตรฐานและกฎหมาย

พรบ.ควบคุมอาคาร.ควบคุมอาคาร

พรบ.ฉบับนี้ได้ประกาศใช้เป็นฉบับแรกในปี พ.ศ. 2522 และฉบับที่ 2 ในปี พ.ศ. 2535 เพื่อใช้ควบคุมการก่อสร้างอาคาร โดยมีกรมโยธาธิการ สังกัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้รับผิดชอบในการร่างกฎกระทรวง และมีคณะกรรมการควบคุมอาคาร ประกอบด้วยผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมอาคาร ผู้แทนจากหน่วยงานราชการ และผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นผู้ยกร่างและปรับปรุงกฎกระทรวง ในขณะนี้ กำลังพิจารณากฎกระทรวงใหม่ ภายใต้พรบ.ควบคุมอาคารฉบับที่ 3.
ในปัจจุบัน มีกฎกระทรวงอยู่ 51 ฉบับ และกฎกระทรวงฉบับที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอัคคีภัยที่สำคัญได้แก่
ฉบับที่ 33( 2535 ) - ข้อกำหนดสำหรับอาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่พิเศษ
ฉบับที่ 39( 2537 ) - ข้อกำหนดสำหรับห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว บ้านแฝด อาคารชุมนุม อาคารอยู่อาศัยเกิน 4 หน่วย หอพัก อาคารที่สูงเกิน 3
ฉบับที่ 47( 2540 ) - ข้อกำหนดสำหรับอาคารสูง อาคารขนาดใหญ่ อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารสาธารณะ อาคารอยู่อาศัยรวม โรงงาน ภัตตาคาร สำนักงาน (อาคารเก่า)
ฉบับที่ 48( 2540 ) - ข้อกำหนดอัตราการทนไฟของโครงสร้างอาคาร
ฉบับที่ 50( 2540 ) - มีข้อกำหนดเพื่อปรับปรุงข้อกำหนดในกฎกระทรวงที่ 33
พรบ.ฉบับนี้ไม่ครอบคลุมการใช้งานประจำวัน จึงไม่มีการตรวจสอบการทำงานของระบบความปลอดภัยว่าทำงานได้หรือไม่ ส่วนใหญ่ ระบบดังกล่าว จึงถูกละเลย และมักจะไม่อยู่ในสภาพ ที่พร้อมที่จะใช้งาน อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่ายินดีที่มีข่าวว่าใน พรบ..ฉบับนี้ไม่ครอบคลุมการใช้งานประจำวัน จึงไม่มีการตรวจสอบการทำงานของระบบความปลอดภัยว่าทำงานได้หรือไม่ ส่วนใหญ่ ระบบดังกล่าว จึงถูกละเลย และมักจะไม่อยู่ในสภาพ ที่พร้อมที่จะใช้งาน อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่ายินดีที่มีข่าวว่าใน พรบ.ควบคุมอาคารฉบับที่ 3 จะให้ความสำคัญเรื่องการตรวจสอบระบบความปลอดภัยของอาคาร และ ยังจะมีข้อกำหนดเรื่องการให้มีการประกันภัยสำหรับผู้ใช้อาคาร ซึ่งจะมีผลทำให้การประกันภัย เห็น ความสำคัญ ของชีวิตมากขึ้น จากเดิมที่ให้ความสำคัญเฉพาะทรัพย์สิน และจะมีข้อกำหนดเพื่อให้มีการตรวจสภาพอาคารและการต่ออายุการใช้อาคาร ซึ่งจะ ลดการลักลอบ ดัดแปลงการใช้อาคาร และจะทำให้เกิดมาตรการเพื่อดูแลให้ระบบความปลอดภัยอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้  

10 ก.ย. 2554

การป้องกันอัคคีภัย

จะเริ่มที่โครงสร้าง และ งาน สถาปัตยกรรม ซึ่งอยู่ในส่วน PASSIVE โดยทำ ส่วนนี้ ให้ดีก่อน แล้วจึงจัดทำระบบป้องกันอัคคีภัย ซึ่งอยู่ในส่วน ACTIVE หลักการ ที่สำคัญ ในการป้องกัน อัคคีภัย คือPASSIVE โดยทำ ส่วนนี้ ให้ดีก่อน แล้วจึงจัดทำระบบป้องกันอัคคีภัย ซึ่งอยู่ในส่วน ACTIVE หลักการ ที่สำคัญ ในการป้องกัน อัคคีภัย คือ
 1. ต้องเข้าใจธรรมชาติของไฟ ที่สามารถ เติบโต จากเพลิงขนาดเล็กเป็นเพลิงขนาดใหญ่ได้ภายในเวลาไม่กี่นาที และเพลิงขนาดเล็กดับง่าย แต่เพลิงขนาดใหญ่ดับยาก

2. จะทำอย่างไร ที่จะจำกัดขนาด ของเพลิงและการแพร่ขยาย ของควันไฟและ ความร้อน
3. ระบบเตือนภัย จะต้องสามารถจับการเกิดควันไฟ และส่งสัญญาณได้อย่างทั่วถึง
4. เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจะต้องเข้าถึงจุดเกิดเหตุให้เร็วที่สุด มีพื้นที่ปฏิบัติการและมีอุปกรณ์พร้อม
5. คนจะต้องหนีออกจากจุดเกิดเหตุในเวลาเพียงไม่กี่นาทีและหนีออกจากอาคารในเวลามากที่สุดไม่เกิน 1 ชั่วโมง ทางหนีไฟและบันไดหนีไฟจะต้องสะดวกและปลอดภัย เมื่อ หนี ออกจาก อาคารแล้ว ควรจะเตรียมพื้นที่รองรับที่เพียงพอ เพื่อการพยาบาลและตรวจสอบผู้สูญหาย
6. จะควบคุมควันไฟ ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตได้อย่างไร และจะป้องกันการเกิดควันพิษได้อย่างไร
7. การดับเพลิงใน อาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่พิเศษจะต้องดับจากภายในอาคาร เรื่องการติดตั้งระบบหัวกระจายนำอัตโนมัติหรือ ระบบสปริงเกลอร์ ก็มักจะสร้างภาพ กันว่า ระบบนี้ เป็นระบบ ที่มีราคาแพงมาก ซึ่งโดยความเป็นจริง การเดินท่อ และ ติดตั้งหัวสปริงเกลอร์จะ ตกประมาณ 500-550 บาท/ตรม. เท่านั้น ในขณะที่ระบบสปริงเกลอร์สามารถช่วยจำกัดการขยายตัวของเพลิงในระยะเริ่มต้นได้เป็นอย่างดี ประหยัด ค่าหินอ่อน หรือ กระจก ลงเสียบ้าง ก็พอกับค่าติดตั้งระบบสปริงเกลอร์แล้ว

6 ก.ย. 2554

การป้องกันอัคคีภัยสำหรับอาคารต่างๆ



ในยุโรป ในสหรัฐอเมริกา ในสิงค์โปร์ มาเลเซียและฮ่องกง คนที่ประกอบวิชาชีพ ทางด้าน สถาปัตยกรรม จะต้องมีความรู้เรื่องข้อกำหนด ทางด้านการ ป้องกันอัคคีภัย อันเป็น ข้อกำหนดส่วนที่สำคัญที่สุดในการออกแบบอาคาร ข้อกำหนดบทแรกๆในArchitectural Building Codes ก็คือ Fire Safety Codes and Regulation ในประเทศไทย ยังไม่มี หลักสูตรทางด้านการป้องกันอัคคีภัยในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ แต่คณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ (กปอ ) ก็ได้เคยมีนโยบาย สวัสดิศึกษา เพื่อให้มีกา รสอนเรื่อง ความปลอดภัย ในสถานศึกษา และ หวังว่าในอนาคต ทบวงมหาวิทยาลัย และ กระทรวงศึกษาฯ ก็คงจะเห็น ความสำคัญ และ กำหนดให้มีหลักสูตรนี้เพิ่มใน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ รวมทั้ง การศึกษา ในระดับโรงเรียน ต่อไป ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยแรกที่เริ่มให้มีหลักสูตรทางด้านนี้

ทำไมสถาปนิกจึงต้องรู้เรื่องการป้องกันอัคคีภัย
เพราะการออกแบบอาคาร เป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้อาคารปลอดภัย หากเริ่มออกแบบด้วยหลักการที่ถูกต้อง อาคาร ก็จะปลอดภัยด้วยตัวของมันเอง แต่หากเริ่มต้นไม่ดี ก็จะทำให้อาคารนั้นเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย และเกิดการสูญเสียมากกว่าที่ควรความสูญเสีย จากเหตุการณ์ที่ โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ ซึ่งเป็นเหตุให้คนงานเสียชีวิตถึง 200 คน เป็นบทเรียนราคาแพง เป็นตัวอย่าง ของการออกแบบ โดยขาดความรู้เรื่องการทนไฟของโครงสร้างอาคาร และการจัดทางหนีไฟ จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้มี ข้อกำหนดเรื่อง อัตราการทนไฟ ในกฎกระทรวงฉบับที่ 48 (2540) และทำให้กระทรวงแรงงานฯกำหนดให้วันที่ 8-10 พ.ค.ทุกปี เป็นวันความปลอดภัย เพื่อ ระลึกถึง เหตุการณ์ครั้งนี้ความสูญเสีย จาก เหตุการณ์ที่ โรงแรมรอยัลจอมเทียน พัทยา เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2540 ซึ่งเป็นเหตุให้พนักงาน กฟผ. บ.เสริมสุข และแขกของโรงแรมเสียชีวิต 90 คน บาดเจ็บ 51 คน ก็เป็นบทเรียนหนึ่งที่มีราคาแพง และเป็นอีกตัวอย่างของการออกแบบโดยขาดความรู้เรื่องทางหนีไฟ การปิดล้อมบันได และช่องท่อ ผนังและประตูทนไฟ รวมทั้งระบบป้องกันอัคคีภัย เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เกิดการพิจารณาปรับปรุงกฎกระทรวง และข้อกำหนดใหม่ๆอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะกฎกระทรวงฉบับที่ 47 (2540) ที่เน้นเรื่องการให้มีบันไดหนีไฟและการปิดล้อมบันไดโดยมีอัตราการทนไฟไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง และเป็นกฎหมายฉบับแรกที่ใช้บังคับกับอาคารเก่า นอกจากนี้ ยังจะทำให้มีข้อกำหนดที่ให้มีการประกันภัยให้กับผู้ใช้อาคาร และข้อบังคับให้มีการตรวจสอบอาคารและการต่ออายุการใช้อาคาร ซึ่งนับเป็นข้อกำหนดที่จะทำให้อาคารจะต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงขึ้นการแก้ปัญหาด้วยการออกกฎหมาย ไม่ใช่คำตอบของการแก้ปัญหา ตราบใดที่สถาปนิกยังแนะนำให้เจ้าของอาคารเลี่ยงกฎหมายอยู่ เช่น การสร้างอาคาร 1950 ตรม. สร้างอาคาร 9900 ตรม. หรือสูง 22.50 ม. เพียงเพื่อต้องการเลี่ยงข้อกำหนดในกฎหมาย โดยไม่ได้พิจารณาว่าอาคารหลังนั้น เป็นอาคารที่มีความเสี่ยงหรือไม่ หรือ หุ้มคานด้วยวัสดุทนไฟเฉพาะคานที่อยู่หัวเสา แต่ไม่หุ้มกันไฟที่คานรอง ทั้งๆที่ก็เป็นคานที่รับน้ำหนักเหมือนกัน หรืออ้างว่าการที่มีฝ้าเพดานยิปซั่มใต้โครงหลังคาก็ถือว่า
เป็นการหุ้มกันไฟโครงหลังคาที่เพียงพอแล้วผู้ออกแบบอาคารคือผู้รับใช้สังคมและจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมสถาปนิกไม่ควรโยนความรับผิดชอบเรื่องการป้องกันอัคคีภัยไปที่ผู้อื่น ไม่สมควรอ้างว่าที่ออกแบบไปอย่างนั้น เพราะเป็นความต้องการของเจ้าของ ไม่ควรอ้างว่า ใส่บันไดหนีไฟไม่ได้เพราะเนื้อที่จำกัด ไม่ควรโยนเรื่องการวางผังทางหนีไฟไปที่วิศวกร ไม่ควรมองว่าข้อกำหนดทางด้านการป้องกันอัคคีภัยสร้างความยุ่งยากและสร้างข้อจำกัดในการออกแบบ อย่าลืมว่า คนที่ท่านรักก็
อาจจะเป็นผู้ใช้อาคารที่ท่านออกแบบไว้ด้วยเช่นกันสถาปนิก จะต้องศึกษามาตรฐานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และหากเห็นว่ามาตรฐานและกฎหมายควรจะมีการปรับปรุง ก็ควรจะเสนอข้อความใหม่พร้อมเหตุผลผ่านสมาคมสถาปนิกสยามหรือสมาคมวิศวกรรมสถานฯ ซึ่งก็เป็นวิธีการเดียวกันกับการพัฒนา

มาตรฐานการป้องกันอัคคีภัยในสหรัฐอเมริกา

ในอนาคต ยังหวังกันว่า กฎหมายจะมีลักษณะเอื้อกับการออกแบบในลักษณะ Performance Base Design ซึ่งทำให้การออกแบบระบบป้องกันอัคคีภัยอาศัยเหตุผลและหลักการทางด้านวิทยาศาสตร์ และต่างจากปัจจุบันที่มีลักษณะการออกแบบตามข้อบังคับ แต่ถึงตอนนั้น ผู้ออกแบบ จะต้องพิสูจน์ ความเป็นมืออาชีพและมีดวงดาวยาบรรณกว่าในปัจจุบันนี้ ออสเตรเลียเป็นประเทศแรกที่ใช้หลัก Performance Base Design แต่ก็พบปัญหาที่ผู้ออกแบบ อาศัยหลักนี้ใน การหลีกเลี่ยง การติดตั้ง
ระบบป้องกันอัคคีภัย จึงต้องมีกรรมการพิจารณาก่อนการอนุมัติ บริษัทที่ปรึกษาฝรั่งที่มาทำโครงการในประเทศไทย ก็เคยอ้างหลักการนี้ ซึ่งเราก็ต้อง ระวังไม่ให้ถูก ฝรั่งหลอก เอาเหมือนกัน

31 ส.ค. 2554

ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ 2

5. อุปกรณ์ตรวจจับควัน
5.1 ชนิดของอุปกรณ์ตรวจจับควัน แบ่งตามการตรวจจับควันออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดไอโอไนเซชั่น (Ionization type) และชนิดโฟโตอิเล็กตริก (Photoelectric type)
5.1.1 ชนิดไอโอไนเซชั่น เป็นอุปกรณ์ตรวจจับควันประกอบด้วยกล่องที่ภายในมีแผ่นโลหะที่มีขั่วไฟฟ้าต่างกันและมีสารกัมมันตภาพรังสี (Radioactive) ซึ่งจะทำหน้าที่กระตุ้นให้อากาศภายในกล่อง (Chamber) เกิดการแตกตัว ไอออนของอากาศในกล่อง จะทำหน้าที่เป็นตัวนำไฟฟ้าให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ระหว่างสองขั้ว เมื่อมีควันเข้าไปในกล่อง ค่าความนำไฟฟ้าของอากาศจะลดลง กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านจะลดลงด้วย เมื่อกระแสลดลงถึงค่าที่ตั้งไว้ แผงควบคุมจะสามารถตรวจค่านี้ได้และทำงานตามที่ได้ออกแบบไว้ต่อไป
5.1.2 ชนิดโฟโตอิเล็กตริก สามารถตรวจจับควันที่หนาทึบได้ดี มีหลักการทำงานสองแบบ คือ แบบควันบังแสง และแบบควันหักเหแสง
(1) แบบควันบังแสง (Light Obscuration) ลักษณะการทำงานจะมีแหล่งกำเนิดแสงและตัวรับแสง ปกติปริมาณแสงที่ตัวรับแสงได้จะมีค่าแน่นอนอยู่ค่าหนึ่ง เมื่อมีควันเข้าไปในกล่อง แสงที่ส่องไปกระทบตัวรับแสงจะถูกบังด้วยอนุภาคของควัน เมื่อต่ำถึงค่าที่ตั้งไว้อุปกรณ์ตรวจจับจะตรวจได้และทำงาน โดยปกติสีของควันจะไม่มีผลต่อการทำงานของอุปกรณ์ อุปกรณ์ตรวจจับแบบนี้ที่ใช้ทั่วไปจะเป็นแบบลำแสง (Beam Smoke Detector) ทำงานโดยที่แหล่งกำเนิดแสงจะส่องแสงผ่านพื้นที่ที่ต้องการป้องกันตรงไปที่ติดตั้งห่างออกไป ส่วนประกอบจะมีตัวฉายแสงและตัวรับแสงแยกเป็นคนละตัวกัน
(2) แบบควันหักเหแสง (Light Scattering)

6. อุปกรณ์แจ้งเหตุเพลิงไหม้
เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้และอุปกรณ์ตรวจจับสามารถตรวจจับได้แล้ว อุปกรณ์แจ้งเหตุจะทำหน้าที่ส่งสัญญาณเตือนภัยให้ผู้อาศัยในอาคารทราบเหตุ แต่สิ่งสำคัญคือ การแจ้งเหตุต้องให้ผู้อาศัยในอาคารทราบอย่างทั่วถึง สามารถแจ้งเหตุได้รวดเร็วเพื่อให้ผู้อาศัยมีเวลาในการดับเพลิง หรือมีเวลาพอสำหรับการอพยพหนีไฟ
อุปกรณ์แจ้งเหตุเพลิงไหม้แบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ อุปกรณ์แจ้งเหตุด้วยเสียงและอุปกรณ์แจ้งเหตุด้วยแสง อุปกรณ์แจ้งเหตุด้วยเสียง เช่น กระดิ่ง หวูด ไซเรน และลำโพง และชนิดที่แจ้งเหตุด้วยแสง เช่น สโตรบ อุปกรณ์แจ้งเหตุด้วยแสงนี้จะใช้กับสถานที่ที่มีเสียงดังมากไม่สามารถแจ้งเหตุด้วยเสียงได้ หรือในสถานที่ที่มีบุคคลที่มีปัญหาการได้ยินอาศัยอยู่ หรือในสถานพยาบาล ปัจจุบันพบว่าผู้สูงอายุจำนวนมากมักมีปัญหาการได้ยิน การแจ้งเหตุด้วยแสงจึงมีความสำคัญและมีประโยชน์มาก
6.1 การแจ้งเหตุด้วยเสียง คือการส่งสัญญาณเสียงเตือนขณะเกิดเหตุเพื่อให้ผู้อาศัยทราบและสามารถอพยพได้ทัน
การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษา
ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องมีการตรวจสอบและทดสอบทั้งเมื่อทำการติดตั้งแล้วเสร็จและตามระยะเวลาที่เหมาะสม จุดประสงค์เพื่อให้ระบบใช้งานได้ดีตามต้องการ มีความเชื่อถือได้สูง และอยู่ในสภาพที่พร้อมจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์เมื่อเกิดเหตุ การดำเนินการควรเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของอาคาร ผู้ดูแล

6.2 การแจ้งเหตุด้วยแสง การแจ้งเหตุด้วยแสง คือ การส่งสัญญาณเตือนด้วยแสงกระพริบที่มีความสว่างเพียงพอที่จะกระตุ้นเตือนให้ผู้อาศัยในอาคารทราบการเกิดเหตุ และในกรณีที่มีคนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงต้องใช้แสงแทน


7.อุปกรณ์ตรวจจับความร้อน
อุปกรณ์ตรวจจับความร้อน เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับตรวจจับความร้อนของวัตถุที่ถูกไฟไหม้ ความร้อนจากการเผาไหม้ของวัตถุ เกิดจากการเพิ่มขึ้นของพลังงานและเป็นสาเหตุให้วัตถุมีอุณหภูมิสูงขึ้น อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนสามารถตรวจจับการเกิดเพลิงไหม้ที่ให้ความร้อนสูงอย่างรวดเร็วและมีควันน้อยได้เร็วกว่าอุปกรณ์ตรวจจับควัน หรือใช้เพื่อป้องกันเพิ่มเติมจากอุปกรณ์ตรวจจับควันก็ได้ แต่จะใช้แทนอุปกรณ์ตรวจจับควันไม่ได้
7.1 หลักการทำงาน
อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนทำงานจากความร้อนที่ตรวจจับได้ แบ่งลักษณะการตรวจจับออกเป็น 2 แบบ คือ แบบอุณหภูมิคงที่ (Fixed Temperature ) และแบบอัตราเพิ่ของอุณหภูมิ และแบบอัตราเพิ่ของอุณหภูมิ ( Rated-of-Rise ) อุปกรณ์ตรวจจับบางตัวจะทำงานได้ทั้งสองหน้าที่
7.1.1 แบบอุณหภูมิคงที่ ( Fixed Temperature ) เป็นอุปกรณ์ที่ตรวจจับแบบที่ง่ายที่สุด จะทำงานเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นถึงจุดที่ตั้งไว้ ที่ใช้งานทั่วไปจะเริ่มตั้งแต่ 58 องศาเซลเซียส ( 135 องศาฟาเรนไฮท์ ) ขึ้นไป อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละมาตรฐานการผลิต
7.1.2 แบบอัตราเพิ่มของอุณหภูมิ ( Rated-of-Rise ) อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนแบบอัตราเพิ่มของอุณหภูมิทำงานเมื่อการเพิ่มของอุณหภูมิสูงเกินอัตราพิกัดที่กำหนดเช่น 8.5 องศาเซลเซียสต่อนาที ( 15 องศาฟาเรนไฮท์ต่อนาที )
7.1.3 อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนแบบผสม ( Combination ) อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนแบบผสม เป็นการผสมการทำงานระหว่างแบบอุณหภูมิคงที่และแบบอัตราเพิ่มของอุณหภูมิ เมื่อค่าใดค่าหนึ่งเป็นไปตามที่กำหนด อุปกรณ์จะทำงาน อุปกรณ์ตรวจจับแบบนี้จึงสามารถตรวจจับความร้อนได้ดีกว่าแบบอุณหภูมิคงที่

28 ส.ค. 2554

ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้

ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ คือ ระบบที่สามารถตรวจจับการเกิดเพลิงไหม้และแจ้งผลให้ผู้อยู่ในอาคารทราบโดยอัตโนมัติและแจ้งเหตุได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและมีความเชื่อถือได้สูง เพื่อให้ผู้อาศัยในอาคารหนีไฟไปยังที่ปลอดภัยสูงขึ้น เป็นผลให้ลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินได้มากระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้มีทั้งระบบที่ทำงานเป็นอิสระและระบบที่ทำงานร่วมกับระบบรักษาความปลอดภัยอื่นๆการออกแบบและติดตั้งระบบสัญญาณแงเหตุเพลิงไหม้จึงต้องมีข้อมูลพร้อมทั้งข้อมูลของตัวระบบเอง และลักษณะอาคารหรือพื้นที่ๆใช้งาน

1. ความรู้ทั่วไป
ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ คือ ระบบที่สามารถตรวจจับการเกิดเพลิงไหม้และแจ้งผลให้ผู้อยู่ในอาคารทราบโดยอัตโนมัติและแจ้งเหตุได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและมีความเชื่อถือได้สูง เพื่อให้ผู้อาศัยในอาคารหนีไฟไปยังที่ปลอดภัยสูงขึ้น เป็นผลให้ลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินได้มาก ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้มีทั้งระบบที่ทำงานเป็นอิสระและระบบที่ทำงานร่วมกับระบบรักษาความปลอดภัยอื่นๆ การออกแบบและติดตั้งระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้จึงต้องมีข้อมูลพร้อมทั้งข้อมูลของตัวระบบเอง และลักษณะอาคารหรือพื้นที่ที่ใช้งาน

2. พัฒนาการของเพลิงไหม้
การเกิดเพลิงไหม้เริ่มจากจุดเล็กๆ ก่อนและขยายใหญ่ขึ้น มีความร้อนสูงขึ้น และลุกลามออกไปเรื่อยๆ การศึกษาการเกิดเพลิงไหม้จะทำให้ทราบลักษณะของการเกิดเพลิงไหม้ การเกิดเพลิงไหม้สามารถแบ่งออกเป็นระยะต่างๆ 4 ระยะ คือ
2.1 ระยะเริ่มต้น (Incipient Stage) เป็นระยะเมื่อเริ่มเกิดเพลิงไหม้ จะเริ่มด้วยการสลายตัวของวัสดุเนื่องจากความร้อน ระยะนี้จะเกิดเป็นอนุภาคเล็กๆ จำนวนมาก อนุภาคอาจจะมีขนาดเล็กกว่า 1 ไมครอน (หนึ่งไมครอนมีขนาดเท่ากับเศษหนึ่งส่วนล้านเมตร) ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อนุภาคเหล่านี้มีทั้งอนุภาคที่เป็นของแข็ง ของเหลว และก๊าซ ระยะนี้จึงไม่สามารถทราบได้ว่าเกิดเพลิงไหม้
2.2 ระยะเกิดควัน (Visible Smoke) จากระยะเริ่มต้น หากการเกิดเผาไหม้ยังคงดำเนินต่อไป จะเกิดควันที่สามารถมองเห็นได้ อนุภาคที่เกิดจากความร้อนจะมีจำนวนมากขึ้นจนทำให้สามารถมองเห็นได้ ระยะนี้ยังไม่มีความร้อนมากพอที่จะทำให้การลุกไหม้ดำเนินต่อไปได้
2.3 ระยะเกิดเปลวเพลิง (Flaming Fire) เมื่อสะสมจนมีความร้อนมากพอ อนุภาคที่มีร้อนมากจะลุกติดไฟ
และเกิดเป็นเปลวเพลิงหรือเปลวไฟ เปลวไฟนี้จะมีพลังงานมากพอที่จะจุดติดอนุภาคอื่นๆ ให้ลุกติดไฟต่อไปได้ เรียกว่าเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ ความร้อนจะสูงขึ้น และการเกิดเพลิงไหม้จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
2.4 ระยะความร้อนสูง (Intense Heat) เมื่อการเกิดเพลิงไหม้ขยายใหญ่ขึ้น ปริมาณความร้อนที่เกิดก็จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ระยะนี้เป็นระยะที่ก่อให้เกิดความเสียหายสูง การดับเพลิงทำได้ยาก

3. การทำงานของระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ร่วมกับระบบป้องกันอัคคีภัยอื่นๆ
โดยปกติระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอัคคีภัยสามารถจัดให้ทำงานร่วมกันได้ แต่ในการเลือกใช้ ควรพิจารณาจากความเหมาะสมในการติดตั้ง แก้ไขและบำรุงรักษา ความแม่นยำ ประสิทธิภาพ และความรวดเร็วในการตรวจสอบเมื่อการทำงานบกพร่อง ที่สำคัญต้องไม่กระทบต่อหน้าที่หรือการทำงานตามปกติของอุปกรณ์อื่น
3.1 ทำงานร่วมกับระบบดับเพลิงด้วยสารดับเพลิงพิเศษ เมื่อระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ได้รับสัญญาณแจ้งเหตุ แผงควบคุมระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องส่งสัญญาณไปแจ้งให้ระบบดับเพลิงปล่อยก๊าซ โฟม หรือสารเคมีประเภทอื่นๆ เพื่อดับเพลิง
3.2 ทำงานร่วมกับระบบลิฟท์ เมื่อระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ได้รับสัญญาณแจ้งเหตุ แผงควบคุมระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องส่งสัญญาณไปแจ้งให้ลิฟท์ทุกชุดในอาคารลงจอดที่ระดับชั้นล่าง ระดับพื้นดินหรือชั้นที่กำหนด เพื่อให้คนออกจากลิฟท์
3.3 ทำงานร่วมกับระบบพัดลมอัดอากาศ เมื่อระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ได้รับสัญญาณแจ้งเหตุ แผงควบคุมระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องส่งสัญญาณไปแจ้งให้ระบบพัดลมอัดอากาศทำงาน อัดอากาศลงมาในช่องบันไดหนีไฟเพื่อไม่ให้ควันเข้าไปในบันไดหนีไฟ
3.4 ทำงานร่วมกับระบบดับเพลิงของอาคาร เมื่อระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ได้รับสัญญาณแจ้งเหตุ แผงควบคุมระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องส่งสัญญาณไปให้ระบบ Fire Pump, Jockey Pump ทำงาน
3.5 ทำงานร่วมกับระบบควบคุมควันไฟ เมื่อระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ได้รับสัญญาณแจ้งเหตุ แผงควบคุมระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องส่งสัญญาณไปให้ระบบควบคุมควันไฟ เครื่องส่งลมเย็น ลิ้นกันไฟ และลิ้นกันควันทุกชุดทำงานตามที่กำหนด เพื่อไม่ให้ควันกระจายไปในบริเวณอื่น
3.6 ทำงานร่วมกับระบบปิดประตู แผงกั้นไฟ และระบบปลดล็อกประตูอัตโนมัติ เมื่อระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ได้รับสัญญาณแจ้งเหตุ แผงควบคุมระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องส่งสัญญาณไปให้ระบบปิดประตู แผงกั้นไฟ และระบบปลดล็อกประตูอัตโนมัติทำงาน เพื่อให้คนอพยพออกมาได้อย่างปลอดภัย

4. อุปกรณ์แจ้งเหตุด้วยมือ
เป็นอุปกรณ์เริ่มสัญญาณที่ทำงานโดยอาศัยการกระตุ้นจากบุคคล โดยการดึง หรือทุบกระจกให้แตก มีลักษณะเป็นสวิตช์ไฟฟ้า ลักษณะการทำงานนี้เป็นแบบจังหวะเดียว (Single Action) หรือผู้ที่ต้องการแจ้งเหตุเพลิงไหม้จะต้องทุบกระจกให้แตกแล้วค่อยดึง ลักษณะการทำงานนี้เป็นแบบสองจังหวะ (Double Action) การปรับตั้งใหม่ (Reset) จะทำได้โดยต้องใช้เครื่องมือประกอบ เช่น ใช้กุญแจ ไขควง หรือประแจ เป็นต้น
Key Switch เป็นอุปกรณ์แจ้งเหตุ Alarm ลักษณะคล้ายกุญแจ ทำงานจังหวะเยวโดยการบิดไปทางซ้ายหรือขวา การ Reset ทำโดยการบิดกลับตำแหน่งเดิม

12 ส.ค. 2554

การจำแนกประเภทของพื้นที่ครองครอง

การออกแบบและเลือกใช้ชนิดของหัวกระจายน้ำดับเพลิงให้เหมาะสมกับระดับอันตรายในพื้นที่ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงที่ปรากฏในพื้นที่ในพื้นที่ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงที่ปรากฏในพื้นที่นั้นๆ ว่ามีจำนวนมากน้อยเพียงใด ตามมาตรฐานจำแนกประเภทของพื้นที่ครองครองออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

ก) พื้นที่ครอบครองอันตรายน้อย (Light Hazard Occupancies)

ข) พื้นที่ครอบครองอันตรายปานกลาง (Ordinary Hazard Occupancies)

ค) พื้นที่ครอบครองอันตรายมาก (Extra Hazard Occupancies)

9 ส.ค. 2554

การเลือกใช้หัวกระจายน้ำดับเพลิง


หัวกระจายน้ำดับเพลิงที่ผ่านการรับรองจะต้องเลือกใช้และติดตั้งให้สอดคล้องกับข้อกำหนดที่ระบุไว้นั้น

ก) หัวกระจายน้ำดับเพลิงชนิดหัวหงาย (Upright ) ต้องติดตั้งให้โครงแขน (Frame Arm) ขนานกับท่อย่อยนั้น

ข) หัวกระจายน้ำดับเพลิงชนิดหัวหงาย (Upright) หรือหัวคว่ำ (Pendent) ให้ติดตั้งในพื้นที่ครอบครองทุกประเภทได้

ค) หัวกระจายน้ำดับเพลิงชนิดติดกำแพง (Sidewall) ให้ติดตั้งเฉพาะพื้นที่ครอบครองอันตรายน้อย (Light Hazard) และมีเพดานเรียบ

3 ส.ค. 2554

Fire Hydrant System

ระบบท่อน้ำดับเพลิงรอบนอกอาคาร(Fire Hydrant System)

ลักษณะทั่วไป

1. ขนาดของท่อต่อทางน้ำเข้าของหัวดับเพลิงกับระบบท่อน้ำ จะต้องมีขนาดไม่เล็กกว่า150 มิลลิเมตรโดยมีวาล์วควบคุมที่จุดต่อหัวจ่ายน้ำดับเพลิงกับท่อน้ำดับเพลิง

2. ชนิดของหัวจ่ายน้ำดับเพลิงจะต้องเป็นแบบเปียกเท่านั้น (Wet-Barrel)

3. จำนวนหัวต่อสายฉีดน้ำดับเพลิง (Hose Outlet) ให้มีไม่น้อยกว่า 1 หัว

4. หัวต่อสายฉีดน้ำดับเพลิงจะต้องเป็นหัวต่อสวมเร็วชนิดตัวเมียพร้อมฝาครอบและโซ่

5. ให้มีวาล์วปิด-เปิดขนาด 65 มิลลิเมตร(2 ½ นิ้ว) ติดตั้งที่หัวต่อสายฉีดน้ำดับเพลิง

ตำแหน่งหัวจ่ายน้ำดับเพลิงรอบนอกอาคาร
1. ที่ติดตั้งหัวจ่ายน้ำดับเพลิงต้องห่างจากอาคารที่ป้องกันไม่น้อยกว่า 12 เมตร (50 ฟุต)

2. กรณีไม่สามารถติดตั้งห่างจากอาคารเกิน 12 เมตร กำหนดให้ติดตั้งใกล้อาคารได้ ถ้าผนังของอาคารเป็นผนังทนไฟหรือติดตั้งใกล้กับส่วนที่เป็นบันไดหรือมุมอาคารซึ่งผนังดังกล่าวในส่วนนี้ต้องไม่พังลงได้โดยง่ายเมื่อมีเหตุเพลิงไหม้

3. ระยะห่างระหว่างหัวดับเพลิงแต่ละหัวจะต้องไม่เกิน 150 เมตร (500 ฟุต)

การติดตั้งหัวจ่ายดับเพลิง




      หัวจ่ายน้ำดับเพลิงต้องติดตั้งอย่างมั่นคงแข็งแรงโดยรองรับข้างใต้ด้วยฐานคอนกรีต ความสูงของหัวจ่ายน้ำดับเพลิง จะต้องสูงไม่น้อยกว่า0.60 เมตร วัดจากแนวศูนย์กลางของหัวต่อสายฉีดน้ำถึงระดับดิน หัวจ่ายน้ำดับเพลิงจะต้องป้องกันการรุดเสียหายที่อาจเกิดจากการกระแทกโดยการจัดทำแนวกั้น หัวจ่ายน้ำดับเพลิงจะต้องถูกยึดติดกับท่อน้ำดับเพลิงด้วยระบบข้อต่อแบบหน้าแปลนเท่านั้น และให้ทำการป้องกันแรงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนทิศทางของน้ำดับเพลิงด้วย ให้ทดสอบการทำงานของหัวดับเพลิงทุกหัว อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง

ตู้เก็บสายฉีดน้ำดับเพลิงและอุปกรณ์
1. เตรียมสายฉีดน้ำดับเพลิงและอุปกรณ์ให้มีจำนวนเพียงพอสำหรับบุคลากรหรือพนักงานดับเพลิงใช้งาน

2. จำนวนและชนิดของสายฉีดน้ำดับเพลิงและอุปกรณ์ ให้พิจารณาจากจำนวนและตำแหน่งของหัวดับเพลิงที่มีใช้งานสัมพันธ์กับพื้นที่หรืออาคารที่ป้องกันการขยายตัวของเพลิงไหม้ และขีดความสามารถของผู้ใช้ในพื้นที่นั้น ๆ

3. จำนวนและชนิดของสายฉีดน้ำดับเพลิงและอุปกรณ์ อาจจะต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานดับเพลิง

4. สายฉีดน้ำดับเพลิงและอุปกรณ์ให้เก็บไว้ภายในบริเวณที่สามารถเข้าถึงและหยิบใช้ได้โดยง่าย อุปกรณ์ทั้งหมดจะต้องบรรจุภายในตู้ที่เห็นได้โดยง่าย

5. ข้อต่อสายฉีดน้ำดับเพลิง ให้เป็นชนิดข้อต่อสวมเร็วทั้งสองปลาย

ตำแหน่งและการสร้างตู้
      ให้ติดตั้งตู้เก็บสายฉีดน้ำดับเพลิงใกล้กับหัวจ่ายน้ำดับเพลิงมากที่สุดหรือติดตั้งไว้ข้างหัวจ่ายน้ำดับเพลิงโดยตรง ตู้เก็บสายฉีดน้ำดับเพลิงจะต้องถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน ภายในตู้เก็บสายฉีดน้ำดับเพลิงจะต้องมีช่องระบายอากาศ สีของตัวตู้จะต้องเป็นชนิดที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อม

ขนาดของตู้และอุปกรณ์ภายใน
      ขนาดของตัวตู้จะต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะบรรจุอุปกรณ์ต่างๆ ได้พอเพียง หรือจัดทำเป็นชั้นวางหรือที่ยึดอุปกรณ์ต่างๆ ได้ โดยอุปกรณ์ภายในตู้จะต้องมี

1. สายฉีดน้ำดับเพลิงขนาด 2 ½ นิ้วยาวไม่น้อยกว่า 30 เมตร อย่างน้อย 1 เส้น

2. หัวฉีดน้ำดับเพลิงที่สามารถปรับการฉีดเป็นลำตรงและเป็นฝอยได้ อย่างน้อย 1 หัว

3. หัวต่อลดขนาด 2 ½ นิ้ว x 1 ½ นิ้วอย่างน้อย 1 หัว

4. ขวานเหล็กและชะแลงเหล็ก อย่างละ 1 อัน

การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัย

      การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัยที่ติดตั้งอยู่ภายในโรงงานอุตสาหกรรมนั้นมีวามสำคัญอย่างมากเนื่องจากขั้นตอนการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาจะทำให้ระบบป้องกันอัคคีภัยที่มีอยู่มีความพร้อมในการใช้งานในกรณีที่มีเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นซึ่งระบบป้องกันอัคคีภัยเหล่านั้นจะสามารถทำการดับเพลิงได้อย่างมีระสิทธิภาพ ดังนั้นผู้มีหน้าที่ทำการตรวจสอบจะต้องทำการศึกษาและทำความเข้าใจระบบป้องกันอัคคีภัยที่มีอยู่ทั้งหมดอย่างละเอียด ทั้งนี้ มีรายการอุปกรณ์สำคัญๆ ที่จะต้องตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษา ได้แก่

1. ระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิง

2. ระบบท่อยืน

3. ท่อจ่ายน้ำดับเพลิง

4. เครื่องสูบน้ำดับเพลิง

5. ถังเก็บน้ำดับเพลิง

      ในการทดสอบ การตรวจสอบ และการบำรุงรักษา ต้องทำตามแบบฟอร์มที่กำหนดขึ้นมาตามลักษณะ ประเภท การติดตั้ง รวมถึงช่วงเวลาหรือความถี่สำหรับระบบป้องกันอัคคีภัยแต่ละแบบที่แตกต่างกันออกไปแบบฟอร์มสำหรับการทดสอบ การตรวจสอบ และการบำรุงรักษา เป็นสิ่งที่เอื้ออำนวยให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว รวมทั้งมีมาตรฐานเพื่อใช้อ้างอิงภายหลังได้ แต่ควรจะพิจารณาเลือกใช้แบบฟอร์มที่ถูกต้องตรงตามกับอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ในสถานประกอบการ ประการสำคัญ จะต้องมีการบันทึกผลอย่างครบถ้วนและจัดเก็บไว้อย่างดีเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่และทุกเวลาที่ต้องการ

1 ส.ค. 2554

Standpipe and Hose System(3)



ระบบท่อยืนภายในอาคารที่นิยมใช้กันในประเทศไทยมีอยู่ 2 ระบบหลัก ได่แก่

1. ระบบท่อเปียกแบบทำงานอัตโนมัติระบบท่อเปียกแบบทำงานอัตโนมัติ(Automatic-Wet) เป็นระบบท่อยืนซึ่งต่อเข้ากับระบบท่อจ่ายน้ำดับเพลิงที่มีเครื่องสูบน้ำดับเพลิงต่อเข้ากับระบบเป็นแบบยึดติดถาวร ในกรณีที่มีการใช้งาน ระบบแบบนี้สามารถจ่ายน้ำดับเพลิงได้อย่างทันทีโดยอัตโนมัติ (ตามปกติแล้วภายในระบบท่อยืนแบบนี้จะมีน้ำดับเพลิงซึ่งมีแรงดันสำรองอยู่ภายในท่อตลอดเวลา)

2. ระบบท่อเปียกแบบทำงานด้วยมือระบบท่อเปียกแบบทำงานด้วยมือ(Manual-Wet) เป็นระบบท่อยืนที่ต่อกับแหล่งจ่ายน้ำประปาในอาคาร เช่น ระบบน้ำใช้โดยมีความมุ่งหมายให้มีน้ำอยู่เต็มในระบบท่อยืนเท่านั้นซึ่งแหล่งจ่ายน้ำนี้ไม่สามารถให้แรงดันและปริมาณการไหลของน้ำเพียงพออย่างมีประสิทธิภาพตามความต้องการของระบบ ระบบท่อยืนนี้จะรับน้ำดับเพลิงจากแหล่งจ่ายน้ำดับเพลิงภายนอก เช่นเครื่องสูบน้ำของรถดับเพลิง เป็นต้น ห้ามไม่ให้ใช้ระบบท่อเปียกแบบทำงานด้วยมือกับอาคารสูงที่มีความสูงตั้งแต่ 23 เมตร และระบบท่อยืนประเภทประเภท 2 และประเภท 3
     ระบบส่งน้ำสำหรับท่อยืน จะต้องจัดให้มีความสามารถพอเพียงสำหรับการส่งจ่ายน้ำให้กับอุปกรณ์ฉีดน้ำดับเพลิงที่ใช้งานเป็นระยะเวลาต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 30 นาที
ปริมาณการส่งจ่ายน้ำสำหรับท่อยืนประเภทที่ 1 และ 3

1. ต้องมีอัตราการไหลไม่น้อยกว่า 1,893ต้องมีอัตราการไหลไม่น้อยกว่า 1,893ลิตรต่อวินาที (500 แกลลอนต่อนาที) เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 30 นาที(500 แกลลอนต่อนาที)

2. กรณีที่ระบบท่อยืนมีมากกว่าหนึ่งท่อปริมาณการส่งจ่ายน้ำจะต้องไม่น้อยกว่า 1,893 ลิตรต่อวินาที (500 แกลลอนต่อนาที) สำหรับท่อยืนท่อแรก และ 946 ลิตรต่อนาที (250 แกลลอนต่อนาที) สำหรับท่อยืนแต่ละท่อที่เพิ่มขึ้น กรณีปริมาณการส่งน้ำรวมของท่อยืนเกิน 4,731 ลิตรต่อนาที (1,250 แกลลอนต่อนาที) ให้ใช้ปริมาณการส่งน้ำที่ 4,731 ลิตรต่อนาที หรือมากกว่าได้



3. ระบบส่งน้ำจะต้องมีความดันพอเพียงเพื่อให้มีความดันที่จุดไกลสุดและสูงสุดของท่อยืน 448 กิโลปาสกาล (65 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว)ด้วยปริมาณการส่งน้ำ 1,893 ลิตรต่อนาที (500แกลลอนต่อนาที) ที่จุดไกลสุดท้ายและสูงสุดของท่อยืน

4. ในกรณีที่ขนาดของระบบท่อยืนได้มาจากการคำนวณตามหลักการกลศาสตร์ของไหลความดันที่จุดหัวต่อสายฉีดน้ำดับเพลิงที่อยู่ไกลสุดต้องมีความดัน 448 กิโลปาสกาล (65ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) ด้วยอัตราการไหล 1,893 ลิตรต่อนาที (500 แกลลอนต่อนาที) ออกจากหัวฉีด

     ปริมาณการส่งจ่ายน้ำสำหรับท่อยืนประเภทที่ 22

1. จะต้องมีอัตราการไหลไม่น้อยกว่า 379จะต้องมีอัตราการไหลไม่น้อยกว่า 379ลิตรต่อนาที (100 แกลลอนต่อนาที) สำหรับวาล์วและสายฉีดน้ำดับเพลิงขนาด 40 มิลลิเมตร(1 ½ นิ้ว)

2. สำหรับวาล์วและสายฉีดน้ำดับเพลิงขนาด 25 มิลลิเมตร (1 นิ้ว) จะต้องมีอัตราการไหลไม่น้อยกว่า 50 ลิตรต่อนาที

3. ความดันที่จุดหัวต่อสายฉีดน้ำดับเพลิงที่อยู่ไกลที่สุดจะต้องมากกว่าหรือเท่ากับ 448 กิโลปาสกาล (65 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว)

28 ก.ค. 2554

Standpipe and Hose System(2)



หัวรับน้ำดับเพลิง ต้องจัดให้มีอย่างน้อย1 หัว สำหรับท่อยืนประเภทที่ 1 และ 3 สำหรับหัว สำหรับท่อยืนประเภทที่ 1 และ 3 สำหรับอาคารที่มีความสูงมากและมีการแบ่งระบบท่อยืนออกเป็นโซนพื้นที่ ซึ่งจะต้องจัดให้มีหัวรับน้ำดับเพลิงสำหรับแต่ละโซนพื้นที่ โดยทั่วไปหัวรับน้ำดับเพลิงจะต้องมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้ คือออกเป็นโซนพื้นที่ ซึ่งจะต้องจัดให้มีหัวรับน้ำดับเพลิงสำหรับแต่ละโซนพื้นที่ โดยทั่วไปหัวรับน้ำดับเพลิงจะต้องมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้ คือ

1. ไม่มีวาล์วปิด-เปิดติดตั้งระหว่างหัวรับน้ำดับเพลิงกับระบบท่อยืนไม่มีวาล์วปิด-เปิดติดตั้งระหว่างหัวรับน้ำดับเพลิงกับระบบท่อยืน

2. ให้ติดตั้งวาล์วกันย้อนกลับสำหรับหัวรับน้ำดับเพลิงทุกจุดที่ต่อเข้ากับระบบท่อยืนให้ติดตั้งวาล์วกันย้อนกลับสำหรับหัวรับน้ำดับเพลิงทุกจุดที่ต่อเข้ากับระบบท่อยืน

3. หัวรับน้ำดับเพลิงจะต้องเป็นชนิดข้อต่อสวมเร็วตัวผู้พร้อมฝาครอบตัวเมียและโซ่คล้องหัวรับน้ำดับเพลิงจะต้องเป็นชนิดข้อต่อสวมเร็วตัวผู้พร้อมฝาครอบตัวเมียและโซ่คล้อง

4. หัวรับน้ำดับเพลิงจะต้องติดตั้งอยู่ในพื้นที่ที่พนักงานดับเพลิงสามารถเข้าถึงได้สะดวกและไม่มีอุปสรรคกีดขวางใดๆและควรอยู่ใกล้กับหัวจ่ายน้ำดับเพลิงสาธารณะ (Public Hydrant)

5. ให้มีป้ายตัวอักษรอ่านได้ชัดเจนโดยมีขนาดอักษรสูงไม่น้อยกว่า 50 มิลลิเมตร (2 นิ้ว)แสดงถึงระบบท่อว่าเป็นประเภทใด เช่น “ระบบท่อยืน” หรือถ้าจ่ายให้กับระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงด้วย เช่น “ระบบท่อยืนและหัวกระจายน้ำดับเพลิง” เป็นต้น

6. ในกรณีหัวรับน้ำดับเพลิงจ่ายให้เฉพาะบางโซนพื้นที่ของอาคาร จะต้องจัดให้มีป้ายตัวอักษรบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าจ่ายน้ำให้กับโซนพื้นที่ใดของอาคารในกรณีหัวรับน้ำดับเพลิงจ่ายให้เฉพาะ
บางโซนพื้นที่ของอาคาร จะต้องจัดให้มีป้ายตัวอักษรบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าจ่ายน้ำให้กับโซนพื้นที่ใดของอาคาร

Standpipe and Hose System(1)



ระบบท่อยืนและสายสูบดับเพลิงภายในอาคาร (Standpipe and Hose System)
ประเภทของระบบท่อยืนและสายสูบดับเพลิง

ระบบท่อยืนและสายฉีดน้ำดับเพลิง แบ่งประเภทการใช้งานออกเป็น 3 ประเภทดังนี้

ประเภทที่ 1 จัดเตรียมวาล์วต่อสายฉีดน้ำดับเพลิง (Hose Connection) ขนาด 65 มิลลิเมตร1 จัดเตรียมวาล์วต่อสายฉีดน้ำดับเพลิง (Hose Connection) ขนาด 65 มิลลิเมตร(2 ½ นิ้ว) สำหรับพนักงานดับเพลิง หรือผู้ได้รับการฝึกซ้อมการใช้สายฉีดน้ำดับเพลิงขนาดใหญ่เท่านั้น½ นิ้ว)

ประเภทที่ 2 จัดเตรียมสายฉีดน้ำดับเพลิงขนาด 25 มิลลิเมตร (1 นิ้ว) หรือ 40 มิลลิเมตร(1 ½ นิ้ว) สำหรับผู้อยู่ในพื้นที่เพื่อใช้ในการดับเพลิงขนาดเล็ก½ นิ้ว) สำหรับผู้อยู่ในพื้นที่เพื่อใช้ในการดับเพลิงขนาดเล็ก

ประเภทที่ 3 จัดเตรียมสายฉีดน้ำดับเพลิงขนาด 25 มิลลิเมตร (1 นิ้ว) หรือ 40 มิลลิเมตร3 จัดเตรียมสายฉีดน้ำดับเพลิงขนาด 25 มิลลิเมตร (1 นิ้ว) หรือ 40 มิลลิเมตร(1 ½ นิ้ว) สำหรับผู้อยู่ในพื้นที่และวาล์วต่อสายฉีดน้ำดับเพลิงขนาด 65 มิลลิเมตร (2 ½ นิ้ว)สำหรับผู้อยู่ในพื้นที่และวาล์วต่อสายฉีดน้ำดับเพลิงขนาด 65 มิลลิเมตร (2 ½ นิ้ว)สำหรับพนักงานดับเพลิง หรือผู้ที่ได้รับการฝึกซ้อมการใช้สายขนาดใหญ่เท่านั้น