หน้าเว็บ

31 ส.ค. 2554

ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ 2

5. อุปกรณ์ตรวจจับควัน
5.1 ชนิดของอุปกรณ์ตรวจจับควัน แบ่งตามการตรวจจับควันออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดไอโอไนเซชั่น (Ionization type) และชนิดโฟโตอิเล็กตริก (Photoelectric type)
5.1.1 ชนิดไอโอไนเซชั่น เป็นอุปกรณ์ตรวจจับควันประกอบด้วยกล่องที่ภายในมีแผ่นโลหะที่มีขั่วไฟฟ้าต่างกันและมีสารกัมมันตภาพรังสี (Radioactive) ซึ่งจะทำหน้าที่กระตุ้นให้อากาศภายในกล่อง (Chamber) เกิดการแตกตัว ไอออนของอากาศในกล่อง จะทำหน้าที่เป็นตัวนำไฟฟ้าให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ระหว่างสองขั้ว เมื่อมีควันเข้าไปในกล่อง ค่าความนำไฟฟ้าของอากาศจะลดลง กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านจะลดลงด้วย เมื่อกระแสลดลงถึงค่าที่ตั้งไว้ แผงควบคุมจะสามารถตรวจค่านี้ได้และทำงานตามที่ได้ออกแบบไว้ต่อไป
5.1.2 ชนิดโฟโตอิเล็กตริก สามารถตรวจจับควันที่หนาทึบได้ดี มีหลักการทำงานสองแบบ คือ แบบควันบังแสง และแบบควันหักเหแสง
(1) แบบควันบังแสง (Light Obscuration) ลักษณะการทำงานจะมีแหล่งกำเนิดแสงและตัวรับแสง ปกติปริมาณแสงที่ตัวรับแสงได้จะมีค่าแน่นอนอยู่ค่าหนึ่ง เมื่อมีควันเข้าไปในกล่อง แสงที่ส่องไปกระทบตัวรับแสงจะถูกบังด้วยอนุภาคของควัน เมื่อต่ำถึงค่าที่ตั้งไว้อุปกรณ์ตรวจจับจะตรวจได้และทำงาน โดยปกติสีของควันจะไม่มีผลต่อการทำงานของอุปกรณ์ อุปกรณ์ตรวจจับแบบนี้ที่ใช้ทั่วไปจะเป็นแบบลำแสง (Beam Smoke Detector) ทำงานโดยที่แหล่งกำเนิดแสงจะส่องแสงผ่านพื้นที่ที่ต้องการป้องกันตรงไปที่ติดตั้งห่างออกไป ส่วนประกอบจะมีตัวฉายแสงและตัวรับแสงแยกเป็นคนละตัวกัน
(2) แบบควันหักเหแสง (Light Scattering)

6. อุปกรณ์แจ้งเหตุเพลิงไหม้
เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้และอุปกรณ์ตรวจจับสามารถตรวจจับได้แล้ว อุปกรณ์แจ้งเหตุจะทำหน้าที่ส่งสัญญาณเตือนภัยให้ผู้อาศัยในอาคารทราบเหตุ แต่สิ่งสำคัญคือ การแจ้งเหตุต้องให้ผู้อาศัยในอาคารทราบอย่างทั่วถึง สามารถแจ้งเหตุได้รวดเร็วเพื่อให้ผู้อาศัยมีเวลาในการดับเพลิง หรือมีเวลาพอสำหรับการอพยพหนีไฟ
อุปกรณ์แจ้งเหตุเพลิงไหม้แบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ อุปกรณ์แจ้งเหตุด้วยเสียงและอุปกรณ์แจ้งเหตุด้วยแสง อุปกรณ์แจ้งเหตุด้วยเสียง เช่น กระดิ่ง หวูด ไซเรน และลำโพง และชนิดที่แจ้งเหตุด้วยแสง เช่น สโตรบ อุปกรณ์แจ้งเหตุด้วยแสงนี้จะใช้กับสถานที่ที่มีเสียงดังมากไม่สามารถแจ้งเหตุด้วยเสียงได้ หรือในสถานที่ที่มีบุคคลที่มีปัญหาการได้ยินอาศัยอยู่ หรือในสถานพยาบาล ปัจจุบันพบว่าผู้สูงอายุจำนวนมากมักมีปัญหาการได้ยิน การแจ้งเหตุด้วยแสงจึงมีความสำคัญและมีประโยชน์มาก
6.1 การแจ้งเหตุด้วยเสียง คือการส่งสัญญาณเสียงเตือนขณะเกิดเหตุเพื่อให้ผู้อาศัยทราบและสามารถอพยพได้ทัน
การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษา
ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องมีการตรวจสอบและทดสอบทั้งเมื่อทำการติดตั้งแล้วเสร็จและตามระยะเวลาที่เหมาะสม จุดประสงค์เพื่อให้ระบบใช้งานได้ดีตามต้องการ มีความเชื่อถือได้สูง และอยู่ในสภาพที่พร้อมจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์เมื่อเกิดเหตุ การดำเนินการควรเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของอาคาร ผู้ดูแล

6.2 การแจ้งเหตุด้วยแสง การแจ้งเหตุด้วยแสง คือ การส่งสัญญาณเตือนด้วยแสงกระพริบที่มีความสว่างเพียงพอที่จะกระตุ้นเตือนให้ผู้อาศัยในอาคารทราบการเกิดเหตุ และในกรณีที่มีคนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงต้องใช้แสงแทน


7.อุปกรณ์ตรวจจับความร้อน
อุปกรณ์ตรวจจับความร้อน เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับตรวจจับความร้อนของวัตถุที่ถูกไฟไหม้ ความร้อนจากการเผาไหม้ของวัตถุ เกิดจากการเพิ่มขึ้นของพลังงานและเป็นสาเหตุให้วัตถุมีอุณหภูมิสูงขึ้น อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนสามารถตรวจจับการเกิดเพลิงไหม้ที่ให้ความร้อนสูงอย่างรวดเร็วและมีควันน้อยได้เร็วกว่าอุปกรณ์ตรวจจับควัน หรือใช้เพื่อป้องกันเพิ่มเติมจากอุปกรณ์ตรวจจับควันก็ได้ แต่จะใช้แทนอุปกรณ์ตรวจจับควันไม่ได้
7.1 หลักการทำงาน
อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนทำงานจากความร้อนที่ตรวจจับได้ แบ่งลักษณะการตรวจจับออกเป็น 2 แบบ คือ แบบอุณหภูมิคงที่ (Fixed Temperature ) และแบบอัตราเพิ่ของอุณหภูมิ และแบบอัตราเพิ่ของอุณหภูมิ ( Rated-of-Rise ) อุปกรณ์ตรวจจับบางตัวจะทำงานได้ทั้งสองหน้าที่
7.1.1 แบบอุณหภูมิคงที่ ( Fixed Temperature ) เป็นอุปกรณ์ที่ตรวจจับแบบที่ง่ายที่สุด จะทำงานเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นถึงจุดที่ตั้งไว้ ที่ใช้งานทั่วไปจะเริ่มตั้งแต่ 58 องศาเซลเซียส ( 135 องศาฟาเรนไฮท์ ) ขึ้นไป อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละมาตรฐานการผลิต
7.1.2 แบบอัตราเพิ่มของอุณหภูมิ ( Rated-of-Rise ) อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนแบบอัตราเพิ่มของอุณหภูมิทำงานเมื่อการเพิ่มของอุณหภูมิสูงเกินอัตราพิกัดที่กำหนดเช่น 8.5 องศาเซลเซียสต่อนาที ( 15 องศาฟาเรนไฮท์ต่อนาที )
7.1.3 อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนแบบผสม ( Combination ) อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนแบบผสม เป็นการผสมการทำงานระหว่างแบบอุณหภูมิคงที่และแบบอัตราเพิ่มของอุณหภูมิ เมื่อค่าใดค่าหนึ่งเป็นไปตามที่กำหนด อุปกรณ์จะทำงาน อุปกรณ์ตรวจจับแบบนี้จึงสามารถตรวจจับความร้อนได้ดีกว่าแบบอุณหภูมิคงที่

28 ส.ค. 2554

ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้

ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ คือ ระบบที่สามารถตรวจจับการเกิดเพลิงไหม้และแจ้งผลให้ผู้อยู่ในอาคารทราบโดยอัตโนมัติและแจ้งเหตุได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและมีความเชื่อถือได้สูง เพื่อให้ผู้อาศัยในอาคารหนีไฟไปยังที่ปลอดภัยสูงขึ้น เป็นผลให้ลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินได้มากระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้มีทั้งระบบที่ทำงานเป็นอิสระและระบบที่ทำงานร่วมกับระบบรักษาความปลอดภัยอื่นๆการออกแบบและติดตั้งระบบสัญญาณแงเหตุเพลิงไหม้จึงต้องมีข้อมูลพร้อมทั้งข้อมูลของตัวระบบเอง และลักษณะอาคารหรือพื้นที่ๆใช้งาน

1. ความรู้ทั่วไป
ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ คือ ระบบที่สามารถตรวจจับการเกิดเพลิงไหม้และแจ้งผลให้ผู้อยู่ในอาคารทราบโดยอัตโนมัติและแจ้งเหตุได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและมีความเชื่อถือได้สูง เพื่อให้ผู้อาศัยในอาคารหนีไฟไปยังที่ปลอดภัยสูงขึ้น เป็นผลให้ลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินได้มาก ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้มีทั้งระบบที่ทำงานเป็นอิสระและระบบที่ทำงานร่วมกับระบบรักษาความปลอดภัยอื่นๆ การออกแบบและติดตั้งระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้จึงต้องมีข้อมูลพร้อมทั้งข้อมูลของตัวระบบเอง และลักษณะอาคารหรือพื้นที่ที่ใช้งาน

2. พัฒนาการของเพลิงไหม้
การเกิดเพลิงไหม้เริ่มจากจุดเล็กๆ ก่อนและขยายใหญ่ขึ้น มีความร้อนสูงขึ้น และลุกลามออกไปเรื่อยๆ การศึกษาการเกิดเพลิงไหม้จะทำให้ทราบลักษณะของการเกิดเพลิงไหม้ การเกิดเพลิงไหม้สามารถแบ่งออกเป็นระยะต่างๆ 4 ระยะ คือ
2.1 ระยะเริ่มต้น (Incipient Stage) เป็นระยะเมื่อเริ่มเกิดเพลิงไหม้ จะเริ่มด้วยการสลายตัวของวัสดุเนื่องจากความร้อน ระยะนี้จะเกิดเป็นอนุภาคเล็กๆ จำนวนมาก อนุภาคอาจจะมีขนาดเล็กกว่า 1 ไมครอน (หนึ่งไมครอนมีขนาดเท่ากับเศษหนึ่งส่วนล้านเมตร) ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อนุภาคเหล่านี้มีทั้งอนุภาคที่เป็นของแข็ง ของเหลว และก๊าซ ระยะนี้จึงไม่สามารถทราบได้ว่าเกิดเพลิงไหม้
2.2 ระยะเกิดควัน (Visible Smoke) จากระยะเริ่มต้น หากการเกิดเผาไหม้ยังคงดำเนินต่อไป จะเกิดควันที่สามารถมองเห็นได้ อนุภาคที่เกิดจากความร้อนจะมีจำนวนมากขึ้นจนทำให้สามารถมองเห็นได้ ระยะนี้ยังไม่มีความร้อนมากพอที่จะทำให้การลุกไหม้ดำเนินต่อไปได้
2.3 ระยะเกิดเปลวเพลิง (Flaming Fire) เมื่อสะสมจนมีความร้อนมากพอ อนุภาคที่มีร้อนมากจะลุกติดไฟ
และเกิดเป็นเปลวเพลิงหรือเปลวไฟ เปลวไฟนี้จะมีพลังงานมากพอที่จะจุดติดอนุภาคอื่นๆ ให้ลุกติดไฟต่อไปได้ เรียกว่าเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ ความร้อนจะสูงขึ้น และการเกิดเพลิงไหม้จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
2.4 ระยะความร้อนสูง (Intense Heat) เมื่อการเกิดเพลิงไหม้ขยายใหญ่ขึ้น ปริมาณความร้อนที่เกิดก็จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ระยะนี้เป็นระยะที่ก่อให้เกิดความเสียหายสูง การดับเพลิงทำได้ยาก

3. การทำงานของระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ร่วมกับระบบป้องกันอัคคีภัยอื่นๆ
โดยปกติระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอัคคีภัยสามารถจัดให้ทำงานร่วมกันได้ แต่ในการเลือกใช้ ควรพิจารณาจากความเหมาะสมในการติดตั้ง แก้ไขและบำรุงรักษา ความแม่นยำ ประสิทธิภาพ และความรวดเร็วในการตรวจสอบเมื่อการทำงานบกพร่อง ที่สำคัญต้องไม่กระทบต่อหน้าที่หรือการทำงานตามปกติของอุปกรณ์อื่น
3.1 ทำงานร่วมกับระบบดับเพลิงด้วยสารดับเพลิงพิเศษ เมื่อระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ได้รับสัญญาณแจ้งเหตุ แผงควบคุมระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องส่งสัญญาณไปแจ้งให้ระบบดับเพลิงปล่อยก๊าซ โฟม หรือสารเคมีประเภทอื่นๆ เพื่อดับเพลิง
3.2 ทำงานร่วมกับระบบลิฟท์ เมื่อระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ได้รับสัญญาณแจ้งเหตุ แผงควบคุมระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องส่งสัญญาณไปแจ้งให้ลิฟท์ทุกชุดในอาคารลงจอดที่ระดับชั้นล่าง ระดับพื้นดินหรือชั้นที่กำหนด เพื่อให้คนออกจากลิฟท์
3.3 ทำงานร่วมกับระบบพัดลมอัดอากาศ เมื่อระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ได้รับสัญญาณแจ้งเหตุ แผงควบคุมระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องส่งสัญญาณไปแจ้งให้ระบบพัดลมอัดอากาศทำงาน อัดอากาศลงมาในช่องบันไดหนีไฟเพื่อไม่ให้ควันเข้าไปในบันไดหนีไฟ
3.4 ทำงานร่วมกับระบบดับเพลิงของอาคาร เมื่อระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ได้รับสัญญาณแจ้งเหตุ แผงควบคุมระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องส่งสัญญาณไปให้ระบบ Fire Pump, Jockey Pump ทำงาน
3.5 ทำงานร่วมกับระบบควบคุมควันไฟ เมื่อระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ได้รับสัญญาณแจ้งเหตุ แผงควบคุมระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องส่งสัญญาณไปให้ระบบควบคุมควันไฟ เครื่องส่งลมเย็น ลิ้นกันไฟ และลิ้นกันควันทุกชุดทำงานตามที่กำหนด เพื่อไม่ให้ควันกระจายไปในบริเวณอื่น
3.6 ทำงานร่วมกับระบบปิดประตู แผงกั้นไฟ และระบบปลดล็อกประตูอัตโนมัติ เมื่อระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ได้รับสัญญาณแจ้งเหตุ แผงควบคุมระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องส่งสัญญาณไปให้ระบบปิดประตู แผงกั้นไฟ และระบบปลดล็อกประตูอัตโนมัติทำงาน เพื่อให้คนอพยพออกมาได้อย่างปลอดภัย

4. อุปกรณ์แจ้งเหตุด้วยมือ
เป็นอุปกรณ์เริ่มสัญญาณที่ทำงานโดยอาศัยการกระตุ้นจากบุคคล โดยการดึง หรือทุบกระจกให้แตก มีลักษณะเป็นสวิตช์ไฟฟ้า ลักษณะการทำงานนี้เป็นแบบจังหวะเดียว (Single Action) หรือผู้ที่ต้องการแจ้งเหตุเพลิงไหม้จะต้องทุบกระจกให้แตกแล้วค่อยดึง ลักษณะการทำงานนี้เป็นแบบสองจังหวะ (Double Action) การปรับตั้งใหม่ (Reset) จะทำได้โดยต้องใช้เครื่องมือประกอบ เช่น ใช้กุญแจ ไขควง หรือประแจ เป็นต้น
Key Switch เป็นอุปกรณ์แจ้งเหตุ Alarm ลักษณะคล้ายกุญแจ ทำงานจังหวะเยวโดยการบิดไปทางซ้ายหรือขวา การ Reset ทำโดยการบิดกลับตำแหน่งเดิม

12 ส.ค. 2554

การจำแนกประเภทของพื้นที่ครองครอง

การออกแบบและเลือกใช้ชนิดของหัวกระจายน้ำดับเพลิงให้เหมาะสมกับระดับอันตรายในพื้นที่ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงที่ปรากฏในพื้นที่ในพื้นที่ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงที่ปรากฏในพื้นที่นั้นๆ ว่ามีจำนวนมากน้อยเพียงใด ตามมาตรฐานจำแนกประเภทของพื้นที่ครองครองออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

ก) พื้นที่ครอบครองอันตรายน้อย (Light Hazard Occupancies)

ข) พื้นที่ครอบครองอันตรายปานกลาง (Ordinary Hazard Occupancies)

ค) พื้นที่ครอบครองอันตรายมาก (Extra Hazard Occupancies)

9 ส.ค. 2554

การเลือกใช้หัวกระจายน้ำดับเพลิง


หัวกระจายน้ำดับเพลิงที่ผ่านการรับรองจะต้องเลือกใช้และติดตั้งให้สอดคล้องกับข้อกำหนดที่ระบุไว้นั้น

ก) หัวกระจายน้ำดับเพลิงชนิดหัวหงาย (Upright ) ต้องติดตั้งให้โครงแขน (Frame Arm) ขนานกับท่อย่อยนั้น

ข) หัวกระจายน้ำดับเพลิงชนิดหัวหงาย (Upright) หรือหัวคว่ำ (Pendent) ให้ติดตั้งในพื้นที่ครอบครองทุกประเภทได้

ค) หัวกระจายน้ำดับเพลิงชนิดติดกำแพง (Sidewall) ให้ติดตั้งเฉพาะพื้นที่ครอบครองอันตรายน้อย (Light Hazard) และมีเพดานเรียบ

3 ส.ค. 2554

Fire Hydrant System

ระบบท่อน้ำดับเพลิงรอบนอกอาคาร(Fire Hydrant System)

ลักษณะทั่วไป

1. ขนาดของท่อต่อทางน้ำเข้าของหัวดับเพลิงกับระบบท่อน้ำ จะต้องมีขนาดไม่เล็กกว่า150 มิลลิเมตรโดยมีวาล์วควบคุมที่จุดต่อหัวจ่ายน้ำดับเพลิงกับท่อน้ำดับเพลิง

2. ชนิดของหัวจ่ายน้ำดับเพลิงจะต้องเป็นแบบเปียกเท่านั้น (Wet-Barrel)

3. จำนวนหัวต่อสายฉีดน้ำดับเพลิง (Hose Outlet) ให้มีไม่น้อยกว่า 1 หัว

4. หัวต่อสายฉีดน้ำดับเพลิงจะต้องเป็นหัวต่อสวมเร็วชนิดตัวเมียพร้อมฝาครอบและโซ่

5. ให้มีวาล์วปิด-เปิดขนาด 65 มิลลิเมตร(2 ½ นิ้ว) ติดตั้งที่หัวต่อสายฉีดน้ำดับเพลิง

ตำแหน่งหัวจ่ายน้ำดับเพลิงรอบนอกอาคาร
1. ที่ติดตั้งหัวจ่ายน้ำดับเพลิงต้องห่างจากอาคารที่ป้องกันไม่น้อยกว่า 12 เมตร (50 ฟุต)

2. กรณีไม่สามารถติดตั้งห่างจากอาคารเกิน 12 เมตร กำหนดให้ติดตั้งใกล้อาคารได้ ถ้าผนังของอาคารเป็นผนังทนไฟหรือติดตั้งใกล้กับส่วนที่เป็นบันไดหรือมุมอาคารซึ่งผนังดังกล่าวในส่วนนี้ต้องไม่พังลงได้โดยง่ายเมื่อมีเหตุเพลิงไหม้

3. ระยะห่างระหว่างหัวดับเพลิงแต่ละหัวจะต้องไม่เกิน 150 เมตร (500 ฟุต)

การติดตั้งหัวจ่ายดับเพลิง




      หัวจ่ายน้ำดับเพลิงต้องติดตั้งอย่างมั่นคงแข็งแรงโดยรองรับข้างใต้ด้วยฐานคอนกรีต ความสูงของหัวจ่ายน้ำดับเพลิง จะต้องสูงไม่น้อยกว่า0.60 เมตร วัดจากแนวศูนย์กลางของหัวต่อสายฉีดน้ำถึงระดับดิน หัวจ่ายน้ำดับเพลิงจะต้องป้องกันการรุดเสียหายที่อาจเกิดจากการกระแทกโดยการจัดทำแนวกั้น หัวจ่ายน้ำดับเพลิงจะต้องถูกยึดติดกับท่อน้ำดับเพลิงด้วยระบบข้อต่อแบบหน้าแปลนเท่านั้น และให้ทำการป้องกันแรงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนทิศทางของน้ำดับเพลิงด้วย ให้ทดสอบการทำงานของหัวดับเพลิงทุกหัว อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง

ตู้เก็บสายฉีดน้ำดับเพลิงและอุปกรณ์
1. เตรียมสายฉีดน้ำดับเพลิงและอุปกรณ์ให้มีจำนวนเพียงพอสำหรับบุคลากรหรือพนักงานดับเพลิงใช้งาน

2. จำนวนและชนิดของสายฉีดน้ำดับเพลิงและอุปกรณ์ ให้พิจารณาจากจำนวนและตำแหน่งของหัวดับเพลิงที่มีใช้งานสัมพันธ์กับพื้นที่หรืออาคารที่ป้องกันการขยายตัวของเพลิงไหม้ และขีดความสามารถของผู้ใช้ในพื้นที่นั้น ๆ

3. จำนวนและชนิดของสายฉีดน้ำดับเพลิงและอุปกรณ์ อาจจะต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานดับเพลิง

4. สายฉีดน้ำดับเพลิงและอุปกรณ์ให้เก็บไว้ภายในบริเวณที่สามารถเข้าถึงและหยิบใช้ได้โดยง่าย อุปกรณ์ทั้งหมดจะต้องบรรจุภายในตู้ที่เห็นได้โดยง่าย

5. ข้อต่อสายฉีดน้ำดับเพลิง ให้เป็นชนิดข้อต่อสวมเร็วทั้งสองปลาย

ตำแหน่งและการสร้างตู้
      ให้ติดตั้งตู้เก็บสายฉีดน้ำดับเพลิงใกล้กับหัวจ่ายน้ำดับเพลิงมากที่สุดหรือติดตั้งไว้ข้างหัวจ่ายน้ำดับเพลิงโดยตรง ตู้เก็บสายฉีดน้ำดับเพลิงจะต้องถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน ภายในตู้เก็บสายฉีดน้ำดับเพลิงจะต้องมีช่องระบายอากาศ สีของตัวตู้จะต้องเป็นชนิดที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อม

ขนาดของตู้และอุปกรณ์ภายใน
      ขนาดของตัวตู้จะต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะบรรจุอุปกรณ์ต่างๆ ได้พอเพียง หรือจัดทำเป็นชั้นวางหรือที่ยึดอุปกรณ์ต่างๆ ได้ โดยอุปกรณ์ภายในตู้จะต้องมี

1. สายฉีดน้ำดับเพลิงขนาด 2 ½ นิ้วยาวไม่น้อยกว่า 30 เมตร อย่างน้อย 1 เส้น

2. หัวฉีดน้ำดับเพลิงที่สามารถปรับการฉีดเป็นลำตรงและเป็นฝอยได้ อย่างน้อย 1 หัว

3. หัวต่อลดขนาด 2 ½ นิ้ว x 1 ½ นิ้วอย่างน้อย 1 หัว

4. ขวานเหล็กและชะแลงเหล็ก อย่างละ 1 อัน

การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัย

      การตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัยที่ติดตั้งอยู่ภายในโรงงานอุตสาหกรรมนั้นมีวามสำคัญอย่างมากเนื่องจากขั้นตอนการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาจะทำให้ระบบป้องกันอัคคีภัยที่มีอยู่มีความพร้อมในการใช้งานในกรณีที่มีเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นซึ่งระบบป้องกันอัคคีภัยเหล่านั้นจะสามารถทำการดับเพลิงได้อย่างมีระสิทธิภาพ ดังนั้นผู้มีหน้าที่ทำการตรวจสอบจะต้องทำการศึกษาและทำความเข้าใจระบบป้องกันอัคคีภัยที่มีอยู่ทั้งหมดอย่างละเอียด ทั้งนี้ มีรายการอุปกรณ์สำคัญๆ ที่จะต้องตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษา ได้แก่

1. ระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิง

2. ระบบท่อยืน

3. ท่อจ่ายน้ำดับเพลิง

4. เครื่องสูบน้ำดับเพลิง

5. ถังเก็บน้ำดับเพลิง

      ในการทดสอบ การตรวจสอบ และการบำรุงรักษา ต้องทำตามแบบฟอร์มที่กำหนดขึ้นมาตามลักษณะ ประเภท การติดตั้ง รวมถึงช่วงเวลาหรือความถี่สำหรับระบบป้องกันอัคคีภัยแต่ละแบบที่แตกต่างกันออกไปแบบฟอร์มสำหรับการทดสอบ การตรวจสอบ และการบำรุงรักษา เป็นสิ่งที่เอื้ออำนวยให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว รวมทั้งมีมาตรฐานเพื่อใช้อ้างอิงภายหลังได้ แต่ควรจะพิจารณาเลือกใช้แบบฟอร์มที่ถูกต้องตรงตามกับอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ในสถานประกอบการ ประการสำคัญ จะต้องมีการบันทึกผลอย่างครบถ้วนและจัดเก็บไว้อย่างดีเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่และทุกเวลาที่ต้องการ

1 ส.ค. 2554

Standpipe and Hose System(3)



ระบบท่อยืนภายในอาคารที่นิยมใช้กันในประเทศไทยมีอยู่ 2 ระบบหลัก ได่แก่

1. ระบบท่อเปียกแบบทำงานอัตโนมัติระบบท่อเปียกแบบทำงานอัตโนมัติ(Automatic-Wet) เป็นระบบท่อยืนซึ่งต่อเข้ากับระบบท่อจ่ายน้ำดับเพลิงที่มีเครื่องสูบน้ำดับเพลิงต่อเข้ากับระบบเป็นแบบยึดติดถาวร ในกรณีที่มีการใช้งาน ระบบแบบนี้สามารถจ่ายน้ำดับเพลิงได้อย่างทันทีโดยอัตโนมัติ (ตามปกติแล้วภายในระบบท่อยืนแบบนี้จะมีน้ำดับเพลิงซึ่งมีแรงดันสำรองอยู่ภายในท่อตลอดเวลา)

2. ระบบท่อเปียกแบบทำงานด้วยมือระบบท่อเปียกแบบทำงานด้วยมือ(Manual-Wet) เป็นระบบท่อยืนที่ต่อกับแหล่งจ่ายน้ำประปาในอาคาร เช่น ระบบน้ำใช้โดยมีความมุ่งหมายให้มีน้ำอยู่เต็มในระบบท่อยืนเท่านั้นซึ่งแหล่งจ่ายน้ำนี้ไม่สามารถให้แรงดันและปริมาณการไหลของน้ำเพียงพออย่างมีประสิทธิภาพตามความต้องการของระบบ ระบบท่อยืนนี้จะรับน้ำดับเพลิงจากแหล่งจ่ายน้ำดับเพลิงภายนอก เช่นเครื่องสูบน้ำของรถดับเพลิง เป็นต้น ห้ามไม่ให้ใช้ระบบท่อเปียกแบบทำงานด้วยมือกับอาคารสูงที่มีความสูงตั้งแต่ 23 เมตร และระบบท่อยืนประเภทประเภท 2 และประเภท 3
     ระบบส่งน้ำสำหรับท่อยืน จะต้องจัดให้มีความสามารถพอเพียงสำหรับการส่งจ่ายน้ำให้กับอุปกรณ์ฉีดน้ำดับเพลิงที่ใช้งานเป็นระยะเวลาต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 30 นาที
ปริมาณการส่งจ่ายน้ำสำหรับท่อยืนประเภทที่ 1 และ 3

1. ต้องมีอัตราการไหลไม่น้อยกว่า 1,893ต้องมีอัตราการไหลไม่น้อยกว่า 1,893ลิตรต่อวินาที (500 แกลลอนต่อนาที) เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 30 นาที(500 แกลลอนต่อนาที)

2. กรณีที่ระบบท่อยืนมีมากกว่าหนึ่งท่อปริมาณการส่งจ่ายน้ำจะต้องไม่น้อยกว่า 1,893 ลิตรต่อวินาที (500 แกลลอนต่อนาที) สำหรับท่อยืนท่อแรก และ 946 ลิตรต่อนาที (250 แกลลอนต่อนาที) สำหรับท่อยืนแต่ละท่อที่เพิ่มขึ้น กรณีปริมาณการส่งน้ำรวมของท่อยืนเกิน 4,731 ลิตรต่อนาที (1,250 แกลลอนต่อนาที) ให้ใช้ปริมาณการส่งน้ำที่ 4,731 ลิตรต่อนาที หรือมากกว่าได้



3. ระบบส่งน้ำจะต้องมีความดันพอเพียงเพื่อให้มีความดันที่จุดไกลสุดและสูงสุดของท่อยืน 448 กิโลปาสกาล (65 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว)ด้วยปริมาณการส่งน้ำ 1,893 ลิตรต่อนาที (500แกลลอนต่อนาที) ที่จุดไกลสุดท้ายและสูงสุดของท่อยืน

4. ในกรณีที่ขนาดของระบบท่อยืนได้มาจากการคำนวณตามหลักการกลศาสตร์ของไหลความดันที่จุดหัวต่อสายฉีดน้ำดับเพลิงที่อยู่ไกลสุดต้องมีความดัน 448 กิโลปาสกาล (65ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) ด้วยอัตราการไหล 1,893 ลิตรต่อนาที (500 แกลลอนต่อนาที) ออกจากหัวฉีด

     ปริมาณการส่งจ่ายน้ำสำหรับท่อยืนประเภทที่ 22

1. จะต้องมีอัตราการไหลไม่น้อยกว่า 379จะต้องมีอัตราการไหลไม่น้อยกว่า 379ลิตรต่อนาที (100 แกลลอนต่อนาที) สำหรับวาล์วและสายฉีดน้ำดับเพลิงขนาด 40 มิลลิเมตร(1 ½ นิ้ว)

2. สำหรับวาล์วและสายฉีดน้ำดับเพลิงขนาด 25 มิลลิเมตร (1 นิ้ว) จะต้องมีอัตราการไหลไม่น้อยกว่า 50 ลิตรต่อนาที

3. ความดันที่จุดหัวต่อสายฉีดน้ำดับเพลิงที่อยู่ไกลที่สุดจะต้องมากกว่าหรือเท่ากับ 448 กิโลปาสกาล (65 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว)